คณบดีศิริราช ชี้ปัจจัยเสี่ยงทำโควิดระบาดปลายปี โอไมครอนยังไม่มีหลักฐานรุนแรง

คณบดีศิริราชชี้ปลายปีเสี่ยงโควิดระบาด จากการพบปะสังสรรค์ หลายประเทศเลื่อนเฉลิมฉลอง กำหนดคนรับวัควีนเท่านั้นถึงร่วมงานได้ ส่วนโอไมครอนยังไม่กระทบวัคซีน ป้องกันรุนแรงและเสียชีวิตได้

เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.64 ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการระบาดของโรคโควิด 19 ที่มีข้อกังวลจะเกิดขึ้นช่วงปลายปี ว่า ปัจจัยของการท่องเที่ยวช่วง พ.ย.-ธ.ค. คนมีแนวโน้มอยากออกไปพบกัน สังสรรค์ สนุกสนาน ซึ่งต้องย้ำว่า 4 เสี่ยงเมื่อมารวมกันก็จะเป็นความเสี่ยง คือ 1.คนเสี่ยง 2.สถานที่เสี่ยง 3.กิจกรรมเสี่ยง และ 4.ช่วงเวลาเสี่ยง โอกาสที่จะจัดการต่างๆ มักเกิดปัญหาขึ้น ซึ่งตอนนี้ทั่วโลกเตือนกันหมด เพราะมีประสบการณ์จากปีที่แล้วว่า ช่วงหน้าหนาว คริสต์มาส ปีใหม่ มีโอกาสที่คนสังสรรค์ จะเห็นว่า หลายประเทศในยุโรปหรือญี่ปุ่น เลื่อนการเฉลิมฉลองไปหลังปีใหม่ หรือคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนโควิด 19 ก็จะไม่ให้เข้าร่วมงาน เป็นอีกทางออกหนึ่งให้คนเข้ารับวัคซีนและมีผลลดความรุนแรงของโรค

“ปีนี้มีจุดกระทบในเรื่องสายพันธุ์โอไมครอน โชคดีที่ปรากฎตัวตั้งแต่ พ.ย. ถ้าปรากฎตัวตอนสัปดาห์ที่ 3 ของ ธ.ค. คิดว่าแต่ละประเทศกลับตัวไม่ทัน ไม่อยากนึกภาพว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่พบเมื่อวันที่ 24 พ.ย. องค์การอนามัยโลกและหลายประเทศมองว่า จะมาซ้ำเติมช่วงที่มีความเสี่ยงเยอะ จึงรีบออกมาเตือน โดยอาศัยข้อมูลด้านวิชาการเรื่องการกลายพันธุ์ว่า จุดกลายพันธุ์มีแนวโน้มทำให้ระบาดมากขึ้น” ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า เมื่อนักวิจัยหลายประเทศวิเคราะห์จุดกลายพันธุ์จะกระทบ 3 เรื่องที่น่ากังวลหรือไม่ คือ 1.แพร่เร็วขึ้น 2.รุนแรงขึ้น และ 3.วัคซีนเอาอยู่หรือไม่ ล่าสุด มีข้อมูลระดับหนึ่งที่นักวิจัยออกมารายงานผลการศึกษาเฉพาะในห้องวิจัยเกี่ยวกับโอมิครอน ซึ่งยังไม่ใช่ข้อมูลจริงที่เกิดขึ้นในโลก พบว่า แม้ว่าจุดกลายพันธุ์กว่า 32 ตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับโปรตีนหนามที่อาจทำให้แพร่กระจายมากขึ้น หลายประเทศในยุโรปกำลังวิเคราะห์ว่า ขณะนี้ที่ระบาดเพิ่มขึ้นมากจะเกิดขึ้นจากโอไมครอนมากน้อยอย่างไร แต่กว่า 98% ยังเป็นสายพันธุ์เดลตาอยู่ รวมถึงข้อมูลยังระบุว่า ผู้ที่ติดเชื้อโอมิครอนที่รายงานทั่วโลก พบว่ามีผู้อาการรุนแรง ต้องเข้าไอซียูเพียง 1 รายในแอฟริกา และยังไม่มีการพิสูจน์ผู้เสียชีวิตจากโอมิครอน

“จากการศึกษาจุดกลายพันธุ์ในโอไมครอน พบสิ่งที่น่าจะเป็นข่าวดีระดับหนึ่ง คือ จุดที่มีโอกาสกระตุ้น T Cell ยังคงอยู่กว่า 80% หมายความว่าระบบภูมิคุ้มกันที่จะลดความรุนแรงของโรค น่าจะยังคงอยู่ในระดับหนึ่ง นั่นคือ สำหรับผู้ฉีดวัคซีนมาก่อนครบแล้ว ก็น่าจะยังลดความรุนแรง เสียชีวิตจากโอมิครอนได้ แต่เรื่องการติดเชื้อ อาจมีประสิทธิภาพลดลง” ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ดังนั้น ในโลกความจริงยังไม่มีหลักฐานว่าโอไมครอนจะก่อให้เกิดความรุนแรง ทั้งนี้ หากมีการเตือนจากนักวิจัยหรือแพทย์ในต่างประเทศ รวมถึงองค์การอนามัยโลกต่างเตือนว่าให้เฝ้าติดตาม อย่าชะล่าใจ เนื่องจากความเป็นห่วงในช่วงธ.ค. ทำให้หลายประเทศออกมาจำกัดกันหมด เช่น สิงคโปร์ อิสราเอล และญี่ปุ่น ประกาศห้ามเดินทางเข้าประเทศ ประเทศอื่นๆ ก็ยกระดับมาตรการสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง และล้างมือ

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า หลายประเทศพูดถึงการกระตุ้นเข็ม 3 เพราะมีรายงานออกมาว่าทำให้ภูมิเพิ่มขึ้นชัดเจน รวมถึงเมื่อเทียบโอไมครอนโดยตรง มีภูมิฯ มากกว่าการฉีดแค่ 2 เข็ม ซึ่งหลายประเทศฉีดเข็ม 3 เน้นในกลุ่มผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมถึงมีคำแนะนำให้ฉีดเข็ม 3 ในกลุ่มเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป แต่ก็ยังอยู่ในกลุ่มที่เสี่ยงต่อความรุนแรงของโรค แต่ไทยเราล้ำหน้ากว่าเขา เพราะเรามีวัคซีนจำนวนมาก และเราก็ฉีดกันกว้างขวางมาก

เมื่อถามว่าทั่วโลกปรับมาตรการในช่วงนี้ แล้วไทยมีมาตรการที่เหมาะสมเพียงพอแล้วหรือไม่ บางคนเสนอไม่ควรเปิดประเทศ ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า วันนี้เราเจอโอไมครอนมา 2-3 สัปดาห์แล้ว ข้อมูลในโลกยังไม่พบหลักฐานว่าก่อให้เกิดความรุนแรง ก็ต้องกลับมาดูมาตรการของไทย หากเข้มงวดจริง มีการดำเนิน 100% มีการกำกับเต็มที่ แต่ยังเอาไม่อยู่ แสดงว่ามาตรการไม่พอ ต้องปรับให้มากขึ้น แต่ขณะนี้มองว่ามาตรการที่ออกมาค่อนข้างดี แต่ยังพบว่ามีเรื่องหลุดรั่ว เช่น ผู้ประกอบการไม่ทำตามมาตรการ หลายแหล่งมีผู้ให้บริการที่ไม่ฉีดวัคซีน หากเราเข้มมาตรการ เราถึงจะบอกได้ว่ามาตรการพอหรือต้องเพิ่ม แต่ถ้าตราบใดเรายังไม่เข้มงวด แต่ประเมินว่ามาตรการไม่พอ คิดว่าอาจจะไม่ใช่ มิเช่นนั้นเราจะมีมาตรการบางอย่างที่ออกมาเกินความจำเป็น หรืออาจมีบางมาตรการช้ากว่าความจำเป็น ดังนั้น ตอนนี้ต้องเร่งประเมินมาตรการทันที ทำให้เข้มงวดทันที เพื่อประเมินสถานการณ์จริง

“ในกลุ่มผู้เดินทางเข้าประเทศ เราเผลอไม่ได้ เพราะโอไมครอนไปกว่า 57 ประเทศเป็นอย่างน้อย ซึ่งข้อมูลคนเข้าไทยแต่ละวันก็มาจากประเทศที่พบแล้วทั้งนั้น ต้องคิดไว้ก่อนว่าคนเหล่านี้มีโอกาสนำเชื้อเข้ามา เราต้องกักตัว ตรวจ RT-PCR ถอดเชื้อหาสายพันธุ์ ควบคู่กับการกระชับชายแดนให้ดี เพราะปีที่แล้วใกล้ปีใหม่ มีงานเยอะ มีแรงงานเข้ามาเยอะ ปีนี้เราประกาศเปิดประเทศ คาดเดาได้ว่าจะมีคนเข้ามา แต่ต้องมีมาตรการติดตามดูแลเข้มงวด เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่หรือติดเชื้อ” ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าว

You may also like...